เปลี่ยนแบตเตอรี่รถ ยุโรป ราคาแพง แต่คุ้มค่าไหม?
ผู้ที่ใช้รถยนต์หรู แบรนด์ชั้นนำของโลก มีประสบการณ์ ในการจะต้องจ่ายค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ ที่ราคาระดับ 2-3 หมื่นบาทเมื่อ เปลี่ยนแบตเตอรี่รถ ที่ศูนย์บริการ (นี่ยังไม่รวมค่าซ่อมบำรุงอื่นๆ ที่อาจจะต้องจ่ายกันทีเป็นหลักแสน) ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า รถยนต์ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ มักจะเลือกใช้สินค้าที่มีคุณภาพสูงที่สุด มาใช้กับรถยนต์ของตัวเอง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ ต่างๆในการใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นสินค้าคุณภาพที่ดีมักจะมาควบคู่กับราคาที่สูง เพราะมีทางเลือกที่น้อย
ถ้าเทียบกับรถยนต์ที่ผลิตในบ้านเรา รถประเภทเหล่านี้ ผู้ผลิตในประเทศมักจะพยายามลดต้นทุนการผลิตของตนเองให้ต่ำ เพื่อให้ราคาขายจะราคาที่ต่ำดึงดูดใจของผู้ซื้อกลุ่มใหญ่ ดังนั้นแบตเตอรี่ที่ใช้จะมีคุณสมบัติค่อนข้างมาตรฐานต่ำที่ผ่านการยอมรับของวิศวะกร จึงทำให้บางคนที่ใช้รถยนต์มาประมาณ 1 ปีเสษ ไม่ถึง 18 เดือน ก็มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่รถยนต์หมด ทั้งนี้เนื่องจากแบตเตอรี่ดังกล่าวจะมีคุณภาพต่ำกว่าที่ขายกันในท้องตลาดด้วยซ้ำไป
แบตเตอรี่ที่เทียบเท่ากับที่ติดรถในรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย จะเป็นแบตเตอรี่ที่เราเรียกว่า กึ่งแห้ง Maintenance Free จะเป็น แอมป์ ต่ำ เช่นรถยนต์ เครื่อง 1500 cc แบตเตอรี่ที่ใช้มีขนาด 35-40 แอมป์ ค่าจุดสตาร์ท 300 หรือ บางที่เครื่อง 2000 cc ใช้แบตเตอรี่ 45 แอมป์ ค่าจุดสตาร์ทระดับ 370 -400 ก็ถือว่าเป็นแบตที่เสมือนหนึ่งให้รถขายออกไปแล้วลูกค้าไปหาแบตเตอรี่ดีๆมาใส่เอง ดังนั้นเราจะเห็นว่า แบตเตอรี่ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะเป็นระดับพันกว่าบาทขึ้นไป ถ้าเทียบกับรถยุโรปที่เป็นหลักหมื่นขึ้นไป
แบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้ในรถยนต์ที่ผลิตในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นค่ายรถญี่ปุ่น มีการใช้แบตเตอรี่พื้นฐานที่เป็น เรียกว่าแบตเตอรี่ กรดซัลเฟต ที่เป็นการสร้างประจุไฟฟ้าจากกรดซัลฟูริคดังกล่าว แบตเตอรี่ประภทดังกล่าวจะมีการเสื่อมง่ายที่เกิดจาก ค่าความเข้มข้นของกรด ปริมาณน้ำกรดในแบตเตอรี่ เมื่อถูกใช้งานจะระเหยไป น้ำแห้งก็จะทำให้แผ่นธาตุ ขั้วไหม้ได้ แผ่นธาตุจะมีตะกรันวัลเฟตเกาะติดแน่น ผุพังได้ง่าย จึงมีอายุที่สั้น
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี่ในการผลิตในปัจจุบันก็จะลดข้อด้อยของแบตเตอรี่ลง เช่นเป็นระบบปิด กันการระเหยของน้ำ ใส่สารผสมในแผ่นธาตุ ลดการผุกร่อนและลดความร้อน ออกแบบแผ่นธาตุให้มีความต้านทานต่ำ ให้กระแสไฟเดินได้เรียบเสถียรขึ้น มีการใช้สารผสมที่สร้างประจุไฟฟ้าได้มากขึ้น จึงทำให้แบตเตอรี่ในรุ่นใหม่ๆมีประสิทธิภาพที่สูงและอายุยาวนานขึ้น
ถ้ามาเทียบอายุการใช้งานแล้ว แบตเตอรี่รถยุโรป ส่วนใหญ่จะเป็นแบตเตอรี่ขั้วจม มีฝาครอบ หรืออยู่ในกล่องครอบไว้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ในบางครั้งเราเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมาจะไม่เห็นแบตเตอรี่รถยนต์ จนไม่รู้ว่าแบตเตอรี่อยู่ตำแหน่งไหน มีความซับซ้อนในการที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ มากว่า แบตเตอรี่ที่ใช้จะมีคุณภาพสูง มีเทคโนโลยี่ที่แตกต่างจากที่ใช้ในบ้านเรา เพราะในประเทศยุโรปจะมีกฎหมายเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงทำให้การจ่ายกระแสไฟของแบตเตอรี่ การผลิต แตกต่างไป ด้วยคุณสมบัติชั้นสูงในการผลิต แบตเตอรี่รถยนต์ที่ผลิตขึ้นมาจึงมีคุณภาพที่สูง และมีอายุการใช้งานได้นาน บางรุ่นรถยนต์แบตเตอรี่ที่ใช้นานถึง 6-7 ปี
ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มักจะมีระบบ Idling Start Stop ที่มีการหยุดของเครื่องยนต์ในขณะที่รถจอดนิ่ง และมีการสตาร์ทรถขึ้นเองเมื่อเราเหยียบคันเร่งออกตัว แบตเตอรี่รถจึงถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่สามารถชาร์จเพื่อสร้างกระแสไฟได้รวดเร็ว และสามารถจ่ายไฟได้แรงในช่วงเวลาที่รวดเร็วเช่นกัน และมีการใช้ไยแก้ว หรือเจลเสริมระบบการทำปฎิกิริยาเพื่อสร้างกระแสไฟได้ดี ในทุกสภาพของอากาศ แบตเตอรี่ดังกล่าวจึงมีประสิทธิภาพในการสร้าง จ่าย และเก็บกระแสไฟฟ้าได้อย่างดี สอดคล้องกับเครื่องยนต์ที่ใช้ นอกจากนี้ยังมีการจ่ายกระแสไฟได้ดีกับระบบตรวจจับ sensor ต่างในรถยนต์
ระบบรถยนต์ในปัจจุบันมีระบบคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการทำงานของรถยนต์ การตรวจสอบระบบ และการปรับความสมดุลของการทำงานของรถยนต์ในทุกๆฟั่งชั่นงาน ซึ่งจำเป็นต้องมีพลังงานไฟฟ้าที่เสถียรเที่ยงตรง ต่อระบบของรถยนต์ เรียกได้ว่าแบตเตอรี่รถยนต์จึงเป็นหัวใจสำคัญของระบบข้อมูล การประมวลผล ประสิทะิภาพการทำงานของรถยนต์
โดยสรุป แบตเตอรี่รถยนต์ของรถยุโรป ในยนตกรรมชั้นสูง จึงไม่ใช่แหล่งพลังงานเพื่อการสตาร์ทเครื่องยนต์ และการส่องสว่าง การใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นพลังงานที่สร้างเสถียรภาพในการทำงานของระบบสมองกล การควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ การปรับเปลี่ยนอัตโนมัติ เพื่อให้รถยนต์ใช้งานได้อย่างเมาะสมในทุกๆสภาพของการขับขี่รถ
ดังนั้นแบตเตอรี่รถยนต์ในรถยุโรปจึงถือว่าแพง แต่ก็คุ้มค่ากับคุณค่าที่ได้รับจากการขับขี่ในรถยนต์