เรื่องของ ไดชาร์จ ตัวกำเนิดไฟฟ้าในรถยนต์
ไดชาร์จ ภาษาฝรั่งเรียกกันว่า Alternator หน้าที่ของมัน คือ แหล่งกำเนิดไฟฟ้าในรถยนต์ ตัวจริง บางคนเข้าใจว่าแบตเตอรี่รถยนต์ เป็นตัวผลิตไฟฟ้าในรถยนต์ แต่ที่จริงเป็นแหล่งสำรองไฟเก็บไฟไว้ จ่ายในช่วงในช่วงที่เราใช้ไฟรถยนต์มากเกินที่รถยนต์ผลิตได้ ก็จะนำกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์มาใช้
ไดชาร์จ เป็นตัวผลิตไฟฟ้า โดยอาศัยกำลังเครื่องยนต์ ส่งกำลังจาก Pulley ข้อเหวี่ยง ผ่านสายพาน มาขับเคลื่อนให้ไดชาร์จหมุน โดยมีขดลวดทองแดงหมุนการอาศัยการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กเพื่อให้กำเนิดพลังงาน ปั่นกระแสไฟออกมาใช้ในรถยนต์
ไดชาร์จ หรือ Alternator เป็นอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า มีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น ทุ่นแม่เหล็ก ขดลวดที่ทำหน้าที่ตัดสนามแม่เหล็ก เพื่อให้เกิดประจุไฟฟ้า ใบพัดระบายความร้อน (ไดชาร์จรุ่นเก่าจะเป็นใบพัดอยู่ด้านนอก ส่วนรุ่นใหม่ใบพัดจะอยู่ด้านใน)
หาก ไดชาร์จ เสีย ไฟไม่ชาร์จ รถก็จะไม่มีไฟใช้ จึงจำเป็นใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อย่างเดียว โดยที่แบตเตอรี่ก็ไม่มีไฟมา recharge ตัวเอง ไฟในแบตเตอรี่รถยนต์จะเริ่มหมด ก็จะเกิดอาการเร่งสะอึก ไฟเริ่มหรี่ แอร์รถยนต์อาจจะเป่าลมร้อน พัดลมอาจไม่ทำงาน อากาศระบายลมไม่ได้เกิดความร้อน ในเครื่องยนต์ จนในที่สุด ไฟจากแบตเตอรี่สำรองใช้ไฟจนหมด
รถยนต์จะไม่มีไฟฟ้าในรถยนต์ เครื่องยนต์จะไม่มีไฟในการจุดระเบิด ทำให้ไม่มีพลังงานกลในการขับเคลื่อน ก็ต้องหยุดวิ่ง หรือเครื่องยนต์ดับ หรือจะว่า “เดี้ยง” นั่นเอง เพราะไม่มีไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดจากไดชาร์จ และจากตัวแบตเตอรี่ที่เป็นแหล่งพลังงานสำรอง
สังเกตง่ายๆ อีกอย่่างหนึ่ง ถ้ารอบเดินเบามีอาการไฟเหี่ยว ต้องเร่งเครื่อง ไฟถึงจะชาร์จมากขึ้น มีอาการวูบๆ วาบๆ ก็ควรจะตรวจเช็กไดชาร์จ และระบบไฟโดยรวมได้แล้ว ถ้าไดชาร์จไม่พอ หรือเสีย ไม่ชาร์จเลย จะมีไฟรูปแบตเตอรี่ขึ้นที่หน้าปัด ก็แสดงว่าไดชาร์จมีปัญหาครับ ควรจะรีบนำรถเข้าเช็ก พยายามปิดอุปกรณ์กินไฟต่างๆ เช่น แอร์ เพื่อเซฟไฟให้พอใช้ในการขับไปซ่อม แต่ถ้าไดชาร์จเสียจริงๆ รถจะวิ่งได้อีกสักพัก จนไฟหมดแล้ว รถจะหยุด อันนี้ควรจะต้องระวังให้มาก
ไดชาร์จเอง มันก็มีอายุการใช้งานของมัน ไม่ใช่อันเดียวจะเหนี่ยวตลอดได้ตลอดชีวิต ซึ่งก็มีหลายสาเหตุที่ทำให้ไดชาร์จเสีย และด้านในมันจะมี “ทุ่น” และ “แปลงถ่าน” ถ้าสองอย่างนี้สึกมากเกินไป ก็ทำให้ไดชาร์จเสื่อมสภาพก็อาจจะต้องเปลี่ยนในระยะเวลาหนึ่ง
ส่วนการเช็ดไดชาร์จนั้น ทางร้านไฟจะต่อ “แอมป์มิเตอร์” ถ้าเข็มชี้มาทางด้าน “ลบ” แสดงว่าไฟชาร์จไม่พอ ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้ามันชี้ไปทาง “บวก” แสดงว่ายังมีสุขภาพดี ยังไงพวกเราพอมีความรู้เรื่องรถ ก็ดูการตรวจเช็กของช่างด้วยนะครับ จะได้รู้ว่ามันปกติดีหรือไม่ ส่วนรถที่มีเกจ์วัด Voltage จะยิ่งชัดเจนครับ ปกติจะต้องอยู่ประมาณ 13-14V แต่ถ้าต่ำกว่านั้น แสดงว่าชาร์จไม่พอ
อีกประการ คือ “ไฟชาร์จเกินกำหนด” (Over Charge) อันนี้จะมีอาการ “ไฟแรงผิดปกติ” ไฟหน้าสว่างขึ้น ไฟหน้าปัดสว่างวาบหยั่งกะหน้าปัดเรืองแสง แอร์แรงขึ้น ฯลฯ เป็นอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็เป็นผลร้ายอีกด้านหนึ่ง Voltage ที่แรงจะมีผลต่ออุปกรณ์ไฟในรถยนต์
โดยปรกติแล้วไฟในรถจะ 12V ไดชาร์จก็ปั่นกระแส 13-14V จึงจะสามารถชาร์จไฟเข้าระบบแบตเตอรี่ได้ นั่นเป็นค่าปกติ แต่ถ้าค่าสูง 16 V ขึ้นไป อันนี้จะทำให้ระบบไฟในรถมีปัญหาได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะพวกฟิวส์รถ กล่อง ECU และอุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อนต่างๆ จะ “เสียหาย” หรือ “วงจรไหม้” ได้ หากปล่อยให้มันชาร์จเกินนานๆ โดยไม่แก้ไข ต้องระวังนะครับ
ส่วนที่ทำให้การชาร์จเกินนั้น จะมาจาก “ตัว Cutout ที่ไดชาร์จเสีย” หน้าที่ของ Cutout หรือ Voltage Regulator คือ “คอยตัดกระแสไฟส่วนเกิน” ไดชาร์จไม่ได้ชาร์จเข้าแบตเตอรี่รถโดยตลอดนะครับ เมื่อไฟเต็มตามที่กำหนดแล้ว Cutout จะตัดการชาร์จไฟ เพื่อไม่ให้ชาร์จเกินกว่ากำหนดนั่นเอง
สรุป ไดชาร์จ มีความสำคัญกับระบบไฟฟ้าในรถยนต์ ผู้ขับรถยนต์ต้องคอยสังเกตุเครื่องหมายเตือนรูปแบตเตอรี่ขึ้นในขณะขับรถอยู่ ไม่ได้แสดงว่าแบตจะหมดอย่างเดียวนะครับ แต่จะเป็นอาการเตือนระบบไดชาร์จด้วยครับ ถ้าเจอเหตุการณ์ดังกล่าวต้องหาที่ซ่อมไดชาร์จ หรือปิดระบบอำนวยความสะดวก ประหยัดไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อหาสถานที่ปลอดภัย แล้วทำการแก้ไขโดยเร็ว